5 เคล็ดลับควรรู้และปฏิบัติในการฝึกฟังภาษาอังกฤษ


1. ภาษาอังกฤษนั้นมีหลากหลายสำเนียง ทั้งภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษาเองอย่างอเมริกัน อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และภาษาอังกฤษของประเทศที่ใช้เป็นภาษาราชการอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์

ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่าสำเนียงหนึ่งฟังง่ายกว่าอีกสำเนียงหนึ่ง อย่างเช่นสำเนียงอเมริกันฟังง่ายกว่าอังกฤษ หรือสำเนียงอังกฤษฟังง่ายกว่าอเมริกัน ฯลฯ

แต่ว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีสำเนียงไหนฟังยากหรือง่ายกว่ากัน แต่อยู่ที่ว่าเราคุ้นเคยกับสำเนียงไหนมากกว่ากันต่างหาก อย่างเช่นถ้าเราชอบดูหนังฮอลลีวูดบ่อยๆ เราก็อาจจะคุ้ยเคยกับสำเนียงอเมริกัน และฟังเข้าใจง่ายกว่าสำเนียงอื่นๆ ในขณะที่พอเราไปดูหนังอังกฤษอย่าง แฮร์รี พอตเตอร์ ซึ่งพูดสำเนียงอังกฤษ เราก็อาจจะฟังแทบจะไม่ออกเลยก็ได้

เพราะฉะนั้น หลักสำคัญในการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้ออก ให้เข้าใจง่าย ก็คือ ถ้าเราอยากฟังสำเนียงไหนออก ก็ให้ฝึกฟังสำเนียงนั้นเยอะๆ บ่อยๆ เป็นประจำ ก็จะทำให้เราคุ้นเคยมากขึ้นและฟังออกได้ง่ายขึ้นเอง 


2. โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีใครฟังภาษาอังกฤษได้เข้าใจทุกสำเนียง 100% เพราะแม้แต่ประเทศเดียวกันเองอย่างอังกฤษ ก็ยังมีคนพูดภาษาอังกฤษหลากหลายสำเนียง แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค แต่ละท้องที่ อย่างสำเนียงลอนดอน ออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ ก็จะไม่เหมือนกับสำเนียงทางเบอร์มิงแฮม หรือแมนเชสเตอร์

ถ้าเราเริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษใหม่ๆ อาจจะยังแยกไม่ค่อยออกว่าแต่ละสำเนียงต่างกันยังไง หรืออันนี้คือสำเนียงอะไร แต่ว่าถ้าเราฝึกฟังบ่อยๆ มากขึ้นๆ แล้วก็จะค่อยๆ เห็นความแตกต่างและลักษณะเด่นๆ ของแต่ละสำเนียงเอง   ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าอันนี้คือสำเนียงอะไรก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยเราก็จะพอฟังออกว่าแต่ละสำเนียงมีบางอย่างแตกต่างกันอยู่บ้าง

ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่เจ้าของภาษาอังกฤษเองก็ยังฟังสำเนียงต่างท้องถิ่นได้ค่อนข้างยาก หรืออาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวปรับความคุ้นเคยในการฟังและการทำความเข้าใจบ้างเหมือนกัน  

อย่าว่าแต่เราเองที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่เลย แม้แต่ชาวอเมริกันเองที่ต้องสื่อสารกับชาวอังกฤษ บางครั้งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสำเนียงอังกฤษเหมือนกัน หรืออย่างดูหนังสำเนียงอังกฤษ บางครั้งก็อาจจะไม่ได้เข้าใจทุกคำทุกประโยคเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นใครที่กำลังฝึกการฟังอยู่ และอาจจะเริ่มรู้สึกท้อ รู้สึกว่ายาก หรือรู้สึกว่าฟังยังไงก็ยังฟังไม่ออกซักที ในที่นี้ให้ทำความเข้าใจก่อนว่าการฟังให้ออกได้นั้นต้องใช้เวลาในการฝึกฟังและในการทำความคุ้นเคยกับสำเนียงแต่ละสำเนียงด้วย และก็ไม่จำเป็นว่าต้องฟังออกทุกคำทุกประโยค เพราะอย่างที่บอกแล้วคือ แม้แต่เจ้าของภาษาอังกฤษเองก็ยังฟังทุกสำเนียงไม่ออก 100% เลย แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจเนื้อหารวมๆ และสามารถสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น


3. เนื่องจากการฝึกฟังจะต้องใช้ระยะเวลา ความพยายาม และความสม่ำเสมอ เราควรที่จะฝึกฟังจากสิ่งที่เราสนใจก่อน อย่างเช่นถ้าเราชอบฟังเพลงและจะฝึกฟังจากเพลง ก็ควรจะเลือกแนวเพลงที่เราชอบก่อน หรือเลือกศิลปินนักร้องที่เราชื่นชอบก่อน เพราะจะทำให้เรามีแรงจูงใจในการฝึกฟังมากขึ้น

หรือถ้าเราชอบดูหนัง ดูซีรีส์ และจะฝึกฟังจากหนัง จากซีรีส์ ก็ควรจะเลือกดูหนังแนวที่เราชื่นชอบ เพราะเราจะได้สนุกไปกับหนัง เนื้อหา และได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย

ในทางกลับกันถ้าเราชอบดูหนังแนวแอคชั่น แต่เรากลับเลือกฝึกภาษาจากหนังดราม่า เราก็อาจจะดูแล้วรู้สึกเบื่อหรือง่วงได้ เพราะนอกจากจะไม่เข้าใจเนื้อหาบางช่วงบางตอนแล้วก็ยังอาจจะยังไม่สนุกกับการฝึกภาษาไปด้วยก็ได้


4. เริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษในระดับที่ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไปสำหรับเรา เพราะถ้าฝึกฟังในระดับที่ยากเกินไปอาจจะทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจ ฟังไม่ออก ไม่สนุก และรู้สึกท้อได้ อย่างเช่นถ้าเรากำลังเริ่มต้นฝึกฟัง และภาษาของเรากำลังอยู่ในระดับพื้นฐาน ถ้าเราไปฟังข่าวต่างประเทศตั้งแต่เริ่มต้นเลย เราอาจจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะการรายงานข่าวนั้นค่อนข้างยืดยาวต่อเนื่อง ไม่ค่อยมีการหยุดเว้นวรรคมากนัก น้ำเสียงก็ค่อนข้างราบเรียบ และที่สำคัญเลยคือเราก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาในข่าวเท่าที่ควรเพราะเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับตัวเรา  

ในขณะเดียวกันถ้าเราฝึกฟังในระดับที่ง่ายเกินไป ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ท้าทาย และไม่สนุกได้ อย่างถ้าใครที่ภาษาอยู่ในระดับปานกลางหรือในระดับสูง แล้วจะให้มาฝึกฟังบทสนทนาพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เช่น การกล่าวทักทาย การแนะนำตัว การพูดคุยเกี่ยวกับงานอดิเรก ก็อาจจะรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ง่ายเกินไป และน่าเบื่อเกินไปก็ได้

เพราะฉะนั้นตัวเราเองจะรู้ดีที่สุดว่าเราควรจะฟังเนื้อหาในระดับไหนที่ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไปสำหรับเรา วิธีการสังเกตระดับที่เหมาะกับเราคือ ถ้าเราเลือกเรื่องที่จะฝึกฟังมาซักเรื่อง แล้วลองฟังดูว่าเราฟังออกมากน้อยแค่ไหน สมมติว่าเราฟังออกประมาณ 70-80% ของเนื้อหาทั้งหมด นั้นก็ถือว่าเป็นระดับที่กำลังดีแล้วสำหรับเรา เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่เราอาจจะเข้าใจแล้ว แต่อาจจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังฟังไม่ทันบ้าง ไม่ว่าเป็นเพราะคำศัพท์ หรือสำเนียง หรือการพูดเร็วเกินไป ก็จะทำให้เราได้ฝึกทักษะการฟังในส่วนนี้เพิ่มเติมต่อไปได้อีก


5. ถ้าเราเริ่มฟังจนชำนาญมากขึ้นแล้ว ก็ควรจะฝึกฟังเนื้อหาที่มีความหลากหลาย จากสื่อประเภทต่างๆ มากขึ้น เพราะภาษาอังกฤษนั้นมีหลากหลายเนื้อหาและสถานการณ์ การที่เราสามารถเข้าใจเนื้อหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ หมายความว่าทักษะการฟังของเราได้พัฒนามากขึ้นแล้ว

สมมติว่าเราฟังบทสนทนาในชีวิตประจำวันได้มากขึ้นแล้ว เราอาจจะเปลี่ยนมาเป็นการดูหนังภาษาอังกฤษดูบ้าง หรืออาจจะเปลี่ยนมาเป็นการฟังเพลงหลากหลายแนวมากขึ้น หรือการดูหนังสารคดีความรู้ทั่วไป ก็จะทำให้เราพัฒนาทักษะการฟังได้มากขึ้นไปอีก

เพราะการที่เราฟังเนื้อหาเดิมๆ ซ้ำๆ หรือจากสื่อประเภทเดิมๆ ซ้ำๆ จะทำให้เราฟังออกในเนื้อหาและภาษาที่ค่อนข้างจำกัด อย่างเช่นการฟังเพลง ก็จะเป็นภาษาที่ใช้ในการร้องเพลง ซึ่งบางครั้งก็อาจจะไม่เหมือนกันกับภาษาพูดทั่วไปในชีวิตประจำวัน และอีกอย่างหนึ่งคือ การร้องเพลงก็จะมีจังหวะที่ชัดเจน และคำร้องก็จะต้องสอดคล้องไปกับจังหวะและโน้ตที่กำหนดไว้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการฟังเพลงอย่างเดียว ก็อาจจะไม่เพียงพอให้เราฟังบทสนทนาในชีวิตประจำวันออกได้อย่างแน่นอน หรือไม่ทำให้เราฟังการรายงานข่าวได้อย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

13 ประโยคภาษาอังกฤษ คำถามคำตอบตรวจคนเข้าเมือง

Suffix -ment รู้หนึ่งให้ได้สอง

Excited VS Nervous  ตื่นเต้นเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน  เอ๊ะ มันเป็นยังไงนะ?